Welcome to my blog English ♥ I'm Panwadee Klintip No.29 M.4/6▲

หิมะ

Read more: http://nanfufu.blogspot.com/2012/05/blog-post_7965.html#ixzz3xlYkYJIl

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

Indirect speech

Indirect speech


Indirect Speech - Statement หรือ ประโยคบอกเล่าในรูปแบบของ Indirect Speech

หลักการเปลี่ยนจากประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech

1. นำเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks (“…”)) และ comma (,) ออก

2. เปลี่ยน says เป็น says that
say to เป็น tell
said เป็น said that
said to เป็น told

3. เราสามารถที่จะเติม “that” หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้

4. เปลี่ยนสรรพนามให้สอดคล้องกับประธานหลักของประโยค

5. เปลี่ยนคำระบุเวลาต่างๆ และ เปลี่ยนคำที่เป็นระยะ ใกล้ ให้เป็น ไกล เช่น

Direct Speech: He said, “I bought this house 2 years ago.”

Indirect Speech: He said (that) he bought that house 2 years before.

Direct Speech
Indirect Speech
Ago
before, earlier
a year/month ago
a year/month before, the previous year/month
last… (night/week/moth/year)
the…before, the previous…
next… (night/week/moth/year)
the following…
Now
then, at that time
the day before yesterday
two days before
the day after tomorrow
Later in two days time, two days late
Today
that day
Tomorrow
the following day, the next day
Tonight
that night
Yesterday
the day before, the previous day
Here
there
These
those
This
that

6. เปลี่ยน Tense ให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยน ดังนี้

หากกริยาใน Direct Statement อยู่ในรูปของ Present Tense เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงTense ใน Indirect Statement อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเปลี่ยนรูปกริยาตามประธานในประโยคนั้นๆ เช่น

Direct Speech: He says, “I like you.”

Indirect Speech: He says (that) he likes me.

หากกริยาใน Direct Statement อยู่ในรูปของ Past Tense เราจะต้องเปลี่ยนแปลง Tenseใน Indirect Statement ดังนี้

Direct Speech
Indirect Speech
Present simple Tense
Past simple Tense
Present continuous Tense
Past continuous Tense
Past simple Tense
Past perfect Tense
Past Continuous Tense
Past Perfect Continuous Tense
Present perfect Tense
Past perfect Tense
Future simple Tense (will)
Future in past forms Tense (would)
Can
Could
May
Might
Shall
Should
Must
Had to

6.1) เปลี่ยนจาก Present Simple Tense เป็น Past Simple Tense เช่น

Direct Speech: Sarah said, "I like Science."

Indirect Speech: Sarah said (that) he liked Science.

6.2) เปลี่ยนจาก Present Continuous Tense เป็น Past Continuous Tense เช่น
Direct Speech: She said, "I am not shouting."

Indirect Speech: She said (that) she was not shouting.

6.3) เปลี่ยนจาก Present Perfect Tense เป็น Past Perfect Tense เช่น

Direct Speech: John said, "I have finished my homework."

Indirect Speech: John said (that) he had finished his homework.

6.4) เปลี่ยนจาก Past Simple Tense เป็น Past Perfect Tense เช่น

Direct Speech: Jake said, "I cleaned the kitchen."

Indirect Speech: Jake said (that) he had cleaned the kitchen.

6.5) เปลี่ยนจาก willเป็น would เช่น

Direct Speech: I said, "I will wait for you."

Indirect Speech: I said (that) I would wait for you.

6.6) เปลี่ยนจาก shall เป็น should เช่น

Direct Speech: They said, "We shall go to the supermarket."

Indirect Speech: They said (that) they should go to the supermarket.

6.7) เปลี่ยนจาก can เป็น could เช่น

Direct Speech: George and Sarah said, “We can help you."

Indirect Speech: George and Sarah said (that) they could help me.

6.8) เปลี่ยนจาก may เป็น might เช่น

Direct Speech: He said, "I may not be home tonight."

Indirect Speech: He said (that) he might not be home tonight.

6.9) เปลี่ยนจาก must เป็น had to เช่น

Direct Speech: The doctor said, "You must stop smoking."

Indirect Speech: The doctor said (that) I had to stop smoking.

Tense

                               Tense

โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)




Phrasal verbs

Phrasal verbs

Phrasal verbs หรือ two-word verbs
     คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ
หลักสำคัญในการใช้ Phrasal Verbs หรือ Two-Word Verbs
1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verbเช่น
   - please come in.
   - Don't give up, whatever happens.
2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้าadverb เช่น
   - I can't make it out. (right)
   - I can't make out it.(wrong)
3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็นdirect object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverbก็ได้        (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น
   - Turn on the light.  หรือ  - Turn the light on.
4. ตามข้อ ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clauseขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น
   - He gave away every book that he possesed. (right)
   - He gave every book that he possesed away. (wrong)

5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วางadverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้
   5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น
      -Off went john! = John went off.
   5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น
      -Away they went ! = They went away.
ประเภทของ Phrasal verbs
1. Inseparable Verbs with no objects  คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น
   set off ออกเดินทาง         Speed up เร่งความเร็ว
   Wake up ตื่นนอน            Stand up ยืนขึ้น
   Come in เข้ามาถึง           Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
   Carry on ทำต่อไป           Find out เรียนรู้
   Grow up เติบโต             Turn up ปรากฏตัว

2. Inseparable Verbs with objects คือ phrasal verbที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น
   Look after เลี้ยงดู                              Look intoสอบถาม ตรวจสอบ
   Run into ชน                                     Come acrossพบโดยบังเอิญ
   Take after เหมือนถอดแบบ                  Deal withติดต่อ เกี่ยวข้อง
   Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน         Cope withจัดการ

3. Separable verbs คือ ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรม
   Turn on เปิด(ไฟ)           Turn off ปิด (ไฟ)
   Turn down หรี่ (เสียง)     Swith off ปิด
   Look up มองหา             Take off ถอด ออกดินทาง

4. Three-Word Phrasal Verbs  คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า ตัว เช่น
   Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด                Cut down on ลดปริมาณลง
   Look out for เตรียมพร้อม                      Catch up with ตามทัน
   Run out of หมด                                  Get down toเอาจริงเอาจัง
   Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน         Look down to ดูถูก
   Look up to ยอมรับนับถือ                        Put up withอดทน
   Look out on มองออกไป

PASSIVE VOICE

PASSIVE VOICE

โครงสร้าง PASSIVE VOICE เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่

โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน
ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้
Present Tense
o    Present simple tense (Active voice )
o    Present simple tense (Passive voice )
o    Presenst continuous tense (Active voice)
o    Presenst continuous tense (Passive voice)
o    Present perfect tense (Active Voice)
o    Present perfect tense (Passive Voice)
o    Present perfect continuous tense (Active Voice)
o    Present perfect continuous tense (Passive Voice)
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก และ Future Tense อีก รวมเป็น 24 โครงสร้าง
ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้
o    Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
o    แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
o    แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
o    ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24โครงสร้าง
o    แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม
 แล้ว TENSE 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร
Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ
เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้
ตัวอย่างประโยค
Present Tense
Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season. ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people. ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)
That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hitแมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)
He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years. บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี
Past Tense
We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday. ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้
Future Tense
We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow. ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้